Luang-Por-Guay-010

แหวนนิ้ว หลวงพ่อกวย

ต่อไปผู้เขียนจะขอกล่าวถึงวัตถุมงคลของหลวงพ่อ จำพวกแหวนน้ำ และแหวนแขน อีกสัก 1 ครั้งเป็นการสรุป แหวนแขนเป็นวิชาโบราณ บางคนก็เรียกว่าผ้าประเจียด คือเอาผ้ายันต์ มาผูกที่โคนแขน แบบนักมวย คือ นักมวยสมัยก่อน อาจโดนอาจารย์หรือนักมวยคู่ต่อสู้ ทำวิชาใส่หรือคัดของให้แพ้หรือใจเสียได้ ตัวนักมวย นิยมสักยันต์ เพื่อให้คงทน ไม่แตกเมื่อโดนหมัดหรือศอก การให้น้ำการถอดมงคลต้องมีคาถามีครู และมีการทำวิชาใส่กันจริง แม้การไหว้ครู อาจรำท่าแผลงศร ปัจจุบันอาจประยุกต์ทำท่ายิงด้วยเอ็ม 16 เลยก็มี การทำวิชานั้นมีจริง สมัยโผน กิ่งเพชร ชกป้องกันตำแหน่งกับนักชกญี่ปุ่น ท่านอาจารย์ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช จะนิมนต์ท่านอาจารย์นำ แก้วจันทร์ แห่งดอนศาลา ซึ่งเป็นฆราวาส มาทำพิธีที่เวทีทุกครั้ง แหวนแขนของหลวงพ่อเดิมทำจากผ้าผี, ผ้าจีวร บางครั้งก็ทำจากเชือกเส้นเล็ก มีหัวเป็นพิรอด ลงรักบ้าง ไม่ได้ลงบ้าง อาจารย์ของหลวงพ่อที่ทำแหวนแขนและแหวนนิ้วได้เก่งก็มีองค์แรกเลยคือหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ สิงห์บุรี, หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา สุพรรณบุรี และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ก็ทำเป็น (ข้อมูลจากพระครูวาปีปทุมรักษ์)

แหวนนิ้วของหลวงพ่อรุ่นแรกทำได้มาตรฐาน นิยมมากและแพงมาก หัวแหวนเป็นยันต์กันภัย 8 ทิศ (ชนิดตาราง) ท้องวงจะตอกคาถาอิติ (อาจหมายถึงอิติปิโสบทต่าง ๆ ) เป็นแหวนหล่อ แต่ปั้มใต้ท้องวง แล้วเชื่อมตรงท้องวง ไม่ได้กระหลั่ย เนื้อสด ๆ คือ อัลปาก้าและฝาบาตร (ทองเหลือง) ยันต์กันภัย 8 ทิศนี้ เดิมหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง สรรคบุรี ใช้ประทับไว้ที่หลังเหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อโตเป็นอาจารย์องค์หนึ่งของท่าน ส่วนท้องวงตอกอิตินี้ เป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อศรี (สี) วัดพระปรางค์ (อาจารย์ที่หลวงพ่อเรียนวิปัสสนากรรมฐาน) ปี 2512 หลวงพ่อก็สร้างอีก 1 รุ่น ขนาดเดียวโต ยันต์แบบเดียวกัน แต่เป็นเนื้อทองเหลืองกะหลั่ยเงิน ปี 2521 ฝังลูกนิมิตก็สร้างอีกแบบเดียวกัน แต่ขนาดเล็กลงมา กะหลั่ยเงิน ไส้ในมีทั้งทองเหลืองและทองแดง (ไส้ในทองแดงมีน้อย)

แบบรูปโล่ห์ยันต์ 8 ทิศ ก็มี (พ.ศ. 12, 15) ที่เป็นยันต์ตะกร้อใต้ท้อง หัวยันต์เป็นองค์พระ ล้อมด้วย กะ กา กา กะ (ภาษาขอม) เนื้ออัลปาก้าแก่ทองเหลืองมีผู้รู้บอกว่า ซ้ำซ้อนกับของหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ แต่ก็เช่าหากัน แบบที่เป็นหัวนางกวักก็มี แต่ไม่ได้ตอกอิติ แบบที่มีหัวเป็นเมฆพัด ก็มีแต่ไม่ได้ตอกอิติ ถ้าไม่ได้ตอกอิติใต้ท้องวง ก็เล่นกันแค่ชอบ ในปี พ.ศ. 2521 งานฝังลูกนิมิตหลวงพ่อสั่งทำแหวน 2 แบบ แบบแรกหัวยันต์กันภัย 8 ทิศ แบบที่ 2 หัวแหวนเป็นตัว นะ ตำราของหลวงพ่อศรี (สี) วัดพระปรางค์ เนื้อทองเหลือง กะหลั่ยเงิน แหวนนะ มีหัว 2 แบบ (บางคนเรียกนะตัวผู้ นะตัวเมีย) อาจารย์สำรวย ปั้นสน เรียกว่า นะ ทรงมงกุฏ แต่ผู้รู้บางคนเรียกกว่า นะ ทรงแผ่นดิน แหวน 2 แบบ จำหน่ายวงละ 10 บาท จำหน่ายแทบไม่ได้ นะ ตัวเดียว เขาสงสัยว่า จะคุ้มครองเขาได้หรือเปล่า หลักสังเกตุท้องวงจะต้องเชื่อม ถ้าถ่ายรูปอาจมองไม่เห็นเพราะกะหลั่ยซ้ำ หลังงานฝังลูกนิมิต ชนิดหัวยันต์เหลือตกค้าง ครึ่งกะละมังซักผ้าได้ จาก 10 บาท ปัจจุบันต้องมีถึง 5,000 บาท (ห้าพันบาท) เป็นอย่างต่ำ ส่วนรุ่นแรกนั้นแพงมาก

เดิมหลวงพ่อเคยหล่อแบบหัวยันต์ หัวองค์พระ เนื้อสัมริด (ฤทธิ์) ท้องวง อิติ แบบหลวงพ่อศรี (สี) ก็มี ท้องวงเป็นแบบพิรอดก็มี (แบบหลวงพ่ออิ่ม) เมื่อมรณภาพแล้ว หมอเฉลียว เดชมา ได้ไว้ตก 300 วง ไปจำหน่ายต่อให้พยับ ชัณสูตร ปัจจุบันไม่เหลือเลย วงสุดท้ายพยับ ถอดให้ผู้เขียนเฉย ๆ ปัจจุบันเล่นหากันเป็นของหลวงพ่อศรี และหลวงพ่ออิ่ม

แหวนนิ้วของหลวงพ่อนั้นได้รับความนิยมมาก เขาว่าท่านเก่งเรื่องแหวน (จริง ๆ อย่างอื่นก็เก่ง) แหวนนิ้วนี้มีคนถามหากันมา เหมือนศิษย์จะรู้อะไรลึก ๆ กว่าผู้เขียน ราคาก็แพง (แพงแบบปั่นราคาเลย) ในสมัยนั้นแม้คนบ้า ยังรู้กิตติศัพท์ ปีหนึ่ง เดือนเมษาอากาศร้อนมาก มีคนบ้าถือถุงโอเลี้ยง นำมาถวายหลวงพ่อทั้งถุง นั่งยอง ๆ ยกมือไหว้หลวงพ่อ คำต่อไปนี้ผมขอโทษหลวงพ่ออย่างสูง คนบ้าพูดว่า “ไอ้กวย เขาว่า มึงมีของดี เขาว่าแหวนมึงเก่ง กูจะมาขอ เอาไปใช้สักวง” หลวงพ่อรับถุงโอเลี้ยงไว้ แต่ไม่ได้ดื่ม (ภาชนะไม่เหมาะสม) แต่หยิบแหวนนิ้วส่งให้

ย่าฉวน เทียนจันทร์ อยู่ด้วยขณะนั้น ท่านรู้สึกตื่นเต้นที่คนบ้านำโอเลี้ยงมาถวาย สมัยนั้นหาได้ยาก ร้านอยู่ไกลมาก อาจถึง 10 กิโลเมตร คนบ้าเดินมา ท่านพูดว่า ถึงมันจะบ้า มันก็มีน้ำใจดี ดีกว่าคนดี ๆ บางคนซะอีก แหวนนิ้วนี้ เคยพบเป็นพระประจำวันก็มี ตอก อิติ เช่นกัน ผู้เขียนเคยได้ไว้ ที่หล่อตำราหลวงพ่อศรี ก็มีหลวงพ่อเคยหล่อ, พระครูพิมพ์กับอาจารย์เชื้อ เคยหล่อร่วมกัน สร้างโบสถ์ วัดวังขรณ์ อาจารย์เชื้อ เป็นน้องชายหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ อาคมเก่งกว่าหลวงปู่เย็น แต่เนื้อหาแหวนจะสู้ของหลวงพ่อศรี (สี) ไม่ได้เลย เนื้อออกสัมริด (ฤทธิ์) ส่วนของหลวงพ่อศรี (สี) จะเป็นสีดอกบวบ สุกอย่างทองคำ พระหล่อก็สีดอกบวบ เนื้อสวยมาก เล่นแร่แปรธาตุตัวจริง แพงในสิงห์บุรี แพงกว่าหลวงพ่อชวง วัดชีประขาว

ส่วนคำว่า อิติ นี้เป็นเอกลักษณ์คาถาสายวัดพระปรางค์ แต่ก็มีพระสายตะวันออกองค์หนึ่ง คือ เจ้าคุณเฮี้ยง วัดป่า ชลบุรี ก็ใช้คาถา 2 ตัวนี้ เป็นเอกลักษณ์ยันต์ ส่วนคาถาที่ใช้กับแหวนนิ้วนี้ ให้ใช้คาถากันภัย 8 ทิศ (8 บท) ก่อนเดินทางจะดี สวดกลางคืนก่อนนอนจะดีมาก เสกทราย เสกหิน วางไว้ 8 ทิศ เวลาเดินป่า นอนอยู่ป่า เสกทรายหว่านรอบ ๆ ที่พักจะดีมาก กันผี ปีศาจ กันโจรได้ แต่คาถา 8 บท เดี๋ยวนี้คงจะหาคนเรียนหรือท่อง คงจะไม่ค่อยมี จริง ๆ แล้วเป็นคาถาที่ดีมาก มีอยู่บทหนึ่งที่หลวงพ่อ จดให้ศิษย์สัก เอาไว้เสกข้าวกิน จะอยู่คงถึงกระดูก บทนี้ชื่อกระทู้ 7 แขก คาถาว่าดังนี้ “อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา อิ” เสกข้าวกิน 1 ก้อน ทุกวัน โดนตีด้วยไม้ ไม่แตกไม่หักเลย เข้าใจว่าเป็นบทประจำตัวของคนเกิดวันจันทร์ (คนเกิดวันอื่นก็ใช้ได้ หลวงพ่อเขียนไว้ มีอยู่ในคาถาลายมือเล่ม 1 หน้า 39) หลวงพ่อเขียนว่ารุ่น 1 มีอิทธิฤทธิ์และอิทธิพลมาก ส่วนตัวผู้เขียนหลวงพ่อให้ใช้ “ติ หัง จะ โต โล ถิ นัง ติ” ชื่อฝนแสนห่า ใช้ประจำตัวคนเกิดวันอังคาร (วันอื่นก็ใช้ได้) ถ้าฝนฟ้าทำท่าจะตก ให้ใช้บทนี้ภาวนาเรียกฝนได้ ถ้าไม่ต้องการให้ตก ให้ใช้บท “นะ หัน ตะ วา...” คาถา 8 บทนี้ดี ใช้เสกทราย, เสกก้อนหิน กันภัย 8 ทิศ บางบทยังรักษาโรคได้

แต่ละบทยังหมายถึงพระอรหันต์ประจำทิศทั้ง 8 ทิศด้วย นอกจากหลวงพ่อจะลงยันต์ประจำหัวแหวนแล้ว หลวงพ่อได้บรรจุยันต์นี้ ลงหลังเหรียญรุ่นฝังลูกนิมิต ในเหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์ ในปี พ.ศ. 2515 มีภัยสงครามจากประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศลาว หลวงพ่อได้ทำผ้ายันต์กันภัย 8 ทิศ สีแดง เพื่อมอบให้ทหาร ไปรบในสงครามลาว นอกจากนั้นหลวงพ่อจะใช้ลงในหมอนไม้ที่ใช้หนุนศีรษะนอน วิธีการลงมีหลายแบบ แบบเป็นแฉก ๆ ประจำทิศก็ได้ หรือจะลงเป็นตารางแบบตาหมากรุกก็ได้ หรือจะลงเป็นรูปยันต์สี่เหลี่ยมแล้วล้อมด้วยคาถากันภัย 8 ทิศก็ได้ (แบบที่ลงในหัวแหวนรุ่น 1)

ต่อไปผู้เขียนจะขอบันทึกถึงอภินิหารของแหวนนิ้วและแหวนแขนเอาไว้ เพื่อความสมบูรณ์ของเรื่องดังนี้

เรื่องที่ 1 ครูแกร เป็นครูใหญ่ในสมัยก่อน บ้านอยู่ทางแม่น้ำน้อย อำเภอสรรคบุรี มีแหวนนิ้วรุ่นแรกใส่อยู่ 1 วง แคล้วคลาดปลอดภัยดี วันหนึ่งไปยิงนก ด้วยปืนลูกซองยาว ปรากฎว่ายิงอย่างไรก็ยิงไม่ได้นก ยิงเป็นสิบ ๆ นัดก็ไม่ได้นก นึกโมโหขึ้นมา ได้ร้องด่า ด่าไปทั่ว ทั้งนก ทั้งปืน ทั้งตัวเอง คราวนี้ยิงได้ ยิงด้วยลูกเบอร์ 100 เม็ด ที่ใช้ยิงนก ได้นกมาหลายตัวเพียงนัดเดียว ด้วยความดีใจ เก็บนกมาถอนขนเดินกลับบ้านด้วยความสบายใจ แต่เมื่อมาดูที่นิ้ว ปรากฏว่าแหวนหายไปแล้ว คือแหวนนิ้วนี้ มีข้อห้ามคือห้ามสวมใส่เอาไปฆ่าสัตว์ รวมทั้งคนด้วย จะทำให้เกิดอาเพศ ห้ามใส่ทำปลา (ฆ่าปลา) ห้ามใส่นิ้วเวลายิงคน จะไม่ดี อาจแพ้ภัยตัวเองได้ ห้ามใส่ไปทอดแหหาปลาด้วย

เรื่องที่ 2 หลวงพ่อเคยหล่อแหวนนิ้ว ตำราของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา และตำราของหลวงพ่อศรี (สี) วัดพระปรางค์ เมื่อหล่อและแต่งเสร็จ ท่านเอาเชือกร้อยเอาไว้ เป็นพวงมัดไว้แน่นหนา ในงานประจำปี ปีหนึ่ง ท่านคงอยากให้ศิษย์ของท่อง เอาไปใช้ ตอนนั้นกรรมการวัดก็อยู่กันหลายคน พระก็อยู่ ได้ชมดูแหวนของหลวงพ่อ บางคนก็พูดว่า สวยดี แต่ไม่มีใครขอ คือ เกรงใจท่าน เสร็จแล้วก็นำมาคืนท่าน ท่านคงจะทดลองวิชา ท่านพูดว่า แหวนกูหายไป 1 วง ใครลักเอาไป เอามาคืนซะดี ๆ กรรมการวัดและพระก็หน้าไม่ดี มองหน้ากันลอกแลก สักพักมีคนเห็นว่าอยู่ที่นิ้ว หมอเฉลียว เดชมา หมอเฉลียว เดชมา ก็หน้าเสียเลย แหวนทั้งพวงอยู่ในปมเชือกไม่มีใครแกะออกมา แต่ไปอยู่ที่นิ้วหมอเฉลียวได้อย่างไร หมอเฉลียวคิดได้ว่า หลวงพ่อคงจะลองวิชาเย้าเล่น เลยตั้งสติได้พูดว่า ดีล่ะ หลวงพ่อทำกับผมแบบนี้ งั้นวงนี้ ผมเอาเลย คือหลวงพ่อสามารถเสกแหวนเข้านิ้วคนได้ แม้เวลาจะสวมนิ้วให้ในบางคน ท่านจะเสกว่าคาถา แล้วเป่าเข้านิ้วได้ระยะห่าง 2-4 นิ้ว ภายหลัง หมอเฉลียวได้พูดคุยกับหลวงพ่อ เวลาศิษย์มากันมาก ๆ ให้หลวงพ่อเสกแหวนเข้านิ้วศิษย์ แหวนก็จะจำหน่ายได้ดีมาก หลวงพ่อกลับพูดว่า “ไม่ดี เดี๋ยวเขาหาว่ากูเล่นกล” พวกเล่นกลปาหี่มันทำได้ดีกว่ากูอีก ส่วนหมอเฉลียวนี้มีคนถามมาว่า เขาเป็นหมออะไร ขอตอบว่าเดิมเป็นหมอรักษาโรคโบราณ เรียนตำราของหลวงพ่อ เรียกว่า หมอโบราณหรือหมอผี ภายหลังหมอโบราณนั้นช้าไม่ทันใจคนไข้ หมอเฉลียวเลยเรียนทางหมอแผนใหม่ คือหมอเฉลียว (หมอตีนเปล่า) ผู้คนเลยเรียกหมอเฉลียว บ้านเก่าอยู่ในวัด

เรื่องที่ 3 อาจารย์เสนอ แสงบัวเผื่อน ที่เรียกอาจารย์คือ เคยบวช เป็นพระอยู่หลายปี ตอนหลังเป็นเซียนพระ เขาจะเรียกเซียนพระว่า อาจารย์ บ้านอยู่สามเอก อำเภอเดิมบางนางบวช มีวิชาพ่นเป่าอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งสวมใส่แหวนนิ้ว รุ่นแรกอยู่ เวลากลางคืนประมาณ 2 ทุ่ม อาจารย์เสนอ ได้เผลอไปเหยียบตะขาบ ครั้งแรกไม่รู้ว่าเหยียบอะไร แต่พอเอาไฟฉายส่องดู และรู้สึกเจ็บ จึงเห็นว่า ตัวเองเหยียบตะขาบอยู่ ตัวโตมาก เหยียบตรงปลายหาง ส่วนหัวตะขาบ กำลังกัดหลังเท้าอยู่ กัดอย่างสุดตัว รู้สึกเจ็บ แต่ไม่เข้า กัดอย่างไรก็ไม่เข้า อาจารย์เสนอเลยแหกปากร้องเรียกคนที่กำลังดูทีวีอยู่ 20 กว่าคน ให้มาดู ตะขาบกัดเขาไม่เข้า ถ้าเป็นสมัยนี้ คงได้ถ่ายรูปบันทึกด้วยกล้องมือถือกันไว้ อันนี้เป็นอานุภาพแหวนนิ้วของหลวงพ่อ ตะขาบนี้ฟันคมมาก บางคนโดนกัดแพ้พิษ นอนปวดร้องทั้งคืนเลย อำนาจของพิษตะขาบนี้กัดหมู ถึงตายเลย ฟันคมมาก เรื่องตะขาบ แมงป่อง และงู นี้เกิดขึ้นอีกหลายสิบครั้ง หลายสิบคน อาจารย์กริ่ง เคยบวชที่วัดหลวงพ่อ บ้านอยู่หนองหิน (หนองลับมีด) ใกล้ ๆ วัดหนองตาแก้ว

สมัยเป็นฆราวาส เคยออกไปทำนา เหยียบงูหลายครั้ง งูไม่กัดเลย ทำท่ากัดแต่อ้าปากไม่ขึ้น เขาพกพาแหวนนิ้วติดตัวประจำ เขาพูดว่า ถ้าจะไม่ให้เจองู ให้ว่าคาถาบทนี้ เป็นคาถาของหลวงพ่อให้ไว้ “โอม มุด มุด พระ ยา ครุฑ จะ เดิน ดง” ถ้าไม่มั่นใจให้ว่าคาถานี้ ขอดชายผ้าไป จะไม่เจองูเลย แต่เมื่อกลับมา ต้องแก้ชายผ้าออก ไม่อย่างนั้นจะปวดหัว ครั้งหนึ่งอาจารย์กริ่ง ตอนนั้นเป็นฆราวาส ไปขุดเพชรที่พนมมาลัย ประเทศเขมร ไปทางตราด จันทบุรี ข้ามชายแดนไป มีแหวนนิ้วรุ่นแรกติดตัวไป ที่ชายแดนเขมร มีกับระเบิดฝังอยู่ทั่วไป เขาบนว่า ถ้าไม่เหยียบกับระเบิดตายซะก่อน กลับมาจะบวชให้หลวงพ่อ 2-3 ครั้ง เขาเหยียบกับระเบิดแล้วไม่ระเบิด หัวกับระเบิดสนิมขึ้นเขียวปี๋เลย คือ เหยียบแล้วรื่นไถลทั้ง 3 ครั้ง เพชรก็ไม่ได้ ฝนก็ตก หุงข้าวก็ไม่ได้ ฝนตกทั้งกลางวัน กลางคืน ต้องใส่เสื้อกันฝน เพชรพลอยก็ใช่ว่าจะอยู่ตื้น ๆ ทั่วไป เขาเลยกลับมาบวชให้หลวงพ่อ ตอนเจอกันที่วัดหลวงพ่อ เขาบวชได้ 10 พรรษา เขาเจอกรุพระแหวกม่านที่โกดังโยมยอด ในปี 2540 หลวงพ่อบรรจุไว้ปี 2507 สร้างปี 2500 อาจารย์กริ่งนี้แก่กว่าคุณกมล ตลาดท่าช้าง 1 ปี คุณกมลแก่กว่าผู้เขียน 1 ปี ผู้เขียนแก่กว่าอาจารย์ตั้ว 1 ปี อาจารย์ตั้วแก่กว่าอาจารย์สำรวย 1 ปี อาจารย์กริ่งนี้ เป็นเจ้าของตำนานเพลง “กระทงหลงทาง” เป็นเจ้าของคาถาเสกดอกไม้ให้หญิงรักให้หญิงหลง (คาถาของหลวงพ่อ) เขาคือเจ้าของตำนานคาถา “อมดอกชะหริด กูจะปลิดดอกซ้อน...” อาจารย์กริ่งเคยโดนยิงที่จันทบุรีหลายครั้ง มีแต่แหวนนิ้วติดตัว โดนข้อหาคดีหมั่นไส้และเรื่องซื้อขายพลอย เขาเล่าว่าประมาณ 10 กว่าครั้ง ยิงติด ๆ ไม่ออก เคยโดนยิงไกลออกบ้าง มีแค่แหวนนิ้วติดตัวไปจันทบุรี ที่ตราดก็เคยโดนยิง สมัยหนุ่ม ๆ อาจารย์กริ่งเขาซ่าส์พอสมควร

เรื่องแหวนนิ้วกันงูนี้ นางลูกอิน คนหัวเด่น ใกล้ ๆ วัด ลูกชายชื่อวิสูตร เป็นครูเป็นดอกเตอร์ ใช้อยู่ประจำ เคยคุ้ยเขี่ยดินพรวนดินปลูกต้นไม้ เผลอจับโดนตัวตะขาบ แมงป่องประจำ ตะขาบ แมงป่อง ไม่กัดเลย ทำอย่างไรก็ไม่กัด ภายหลังแหวนนิ้วรุ่นแรก ๆ หายสาบสูญ เขาไปบูชารุ่นใหม่ ๆ จากวัด ก็ใช้ได้ผล ไม่มีตะขาบ, งู, แมงป่อง กัดเลย ไม่ว่ากี่ครั้งอัศจรรย์ใจมาก

คุณครูลาภ บ้านอยู่ฝั่งวัดเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี หน้าตาคนสมัยก่อนจะโบราณ ๆ แก่กว่าอายุ สมัยเรียนจบจากครู ยังไม่ได้สอบบรรจุ เกรงว่าจะต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ จะเสียเวลาสอบก็ยากมากด้วย ยิ่งนานวันคนจบมาก็จะมาก เขาเลยไปหาหลวงพ่อเล่าให้ท่านฟัง หลวงพ่อได้รดน้ำมนต์ให้ และให้แหวนนิ้วมา 1 วง (ท้องวงเป็นรูปพิรอด) บอกว่า เวลาจับใบดำใบแดง ให้เอานิ้วลูบหัวแหวนไปทางปลายนิ้ว แล้วกลั้นใจอธิฐานจับ ขอให้เป็นใบดำ เขาก็จับได้ใบดำจริง ๆ เขาใช้แหวนวงนั้นมา 40 ปีเต็ม (เข้าใจว่าถอดเป็นบางเวลา) คุ้มจริง ๆ ของอย่างอื่นก็ไม่หามาเพิ่มเติม น่าจะมีของหลวงพ่ออยู่ 2-3 อย่าง เท่านั้นก็แปลกดี ครั้งหนึ่งไปสอบเพิ่มเติมวิทยะฐานะ เข้าใจว่าทางเหนือ ยังหนุ่มอยู่ เขาว่าสาวเหนือกับหนุ่มสุพรรณนั้นคู่กัน เจ้าพ่อขุนตาล ชอบเขยภาคกลาง โดยเฉพาะคนสุพรรณ พอเจอสาวเหนือ สาวเหนืออยู่ในขั้นสวยมาก ในยุคนั้น ปิ้งเลย ขอมาอยู่สุพรรณด้วย ครูลาภบอกเป็นด้วยแหวนของหลวงพ่อแน่ ๆ แม่คุณครูลาภพอรู้ข่าวอยากได้หลานไปแต่งเอามาเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ ได้ข่าวว่า จะเรียนต่อโทหรือเอก ลูกก็โตเป็นหนุ่มสาวทำงานกันแล้ว แต่เรื่องนั้นยังเป็นตำนานอยู่

แดง ตาไฟ บ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านผู้เขียน มีอำนาจจิตจับแมงป่องได้ โดยไม่กัด โดยท่องคาถาหัวใจ สะกด หัวใจแมงป่อง (คาถาสะกด) “พุทธะปอยอ” เป่าพ่นไป หางจะตก จับเล่นได้ ผมผู้เคยทำได้ผล เป่าเท่าไร หางก็ไม่ตก เลยคว้าหยิบขึ้นมาเลย ผลคือต่อย (โดนต่อย) พิษวิ่งขึ้นมาถึงรักแร้เลย ดีว่าแค่แมงป่อง เวลาจะสะกด ต่อ,แตน ให้ว่า “พุทธะมิมิ” แตนผึ้งจะไม่ต่อย แต่ต่อระวังหน่อย อาจถึงเข้าโรงพยาบาลได้ ถ้าจะว่าคาถาสะกดงู ให้ตัวอ่อน ให้ว่า “พุทธะฆองอ” บทนี้เป็นของหลวงพ่ออิ่มวัดหัวเขาสุพรรณ หลวงพ่อสืบต่อมา แดง ตาไฟ ได้ไว้ แดงเขาจับงูเล่นประจำ แหวนเขาไม่เคยใช้ คาถาที่น่าลองคือ คาถาสะกด ต่อ, แตน หลวงพ่อเคยให้อาจารย์ถนอม วัดเดิมบาง ไว้เช่นกัน เพราะอาจารย์ถนอมเคยเข้าไปในกุฏิของท่าน ผึ้งหลวงรังใหญ่เท่ากระด้ง มาอาศัยใบบุญของหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยให้คาถานี้กับนายเร่ง เมฆสาด ไว้ด้วยเช่นกัน เอาไว้ลองวิชาดูว่าถือของได้ขึ้นหรือไม่

คาถาฆองอนี้ (พุทธะฆองอ) นี้ หลวงพ่ออิ่มเคยทำแหวนนิ้ว เป็นองค์พระ ซ้ายและขวา จารึกภาษาไทยว่า ฆ และ ง ปัจจุบันพระที่ทำอาคมกันเขี้ยวงา, งู ก็มีหลวงพ่อสมบุญ วัดลำพันบอง อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี อายุ 94 ปี (2558) ยังมีชีวิตอยู่ พระหรือเครื่องรางของท่านกันงูได้ หมูป่ากัด, แทงไม้เข้า เป็นศิษย์สายหลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่ (ศิษย์สายหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา) เก่งพอใช้ได้ตัวจริงในสุพรรณบุรี (อีกองค์หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่ อายุเท่ากัน)

เรื่องที่ 4 สารวัตรละออง สุขนิล บุตรบุญธรรมของหลวงพ่อ เดิมเสือฝ้ายส่งลูกน้องมาฆ่าบิดา-มารดาท่านตายหมด นายละอองยังเป็นเด็ก ไม่อยู่บ้านเลยรอดตาย เขาเลยนำเด็กชายละอองมาถวายให้หลวงพ่อ หลวงพ่อรักมาก รักมากพอ ๆ กับรักหมอเฉลียว เดชมา อีกคนหนึ่ง (บุตรบุญธรรม) ชื่อควง มีลักษณ์ พวกนายกริ่ง, นายกรวย, นายแกร 3 พี่น้องนี้เขาก็เอามาไว้วัด แต่ไม่ได้มอบให้เป็นบุตรบุญธรรม โดยทางการ ผู้เขียนก็ด้วย พ่อยกให้หลวงพ่อ ยกให้เฉย ๆ ตอนเจ็บอายุ 3-4 ขวบ แต่ไม่เป็นทางการ ขอยกให้ลอย ๆ ที่เป็นทางการคือ นายละออง กับนายควง (เป็นผู้หญิงยืนฉี่) เดี๋ยวนี้สวยมากเลย นายละอองอยากเป็นตำรวจ อาจมีแค้นสุมอก แต่สมัยก่อนโรงเรียนก็ไม่มี มีก็ไกลมาก เขาบวชเป็นพระ เป็นเณร ได้นักธรรมโท พอดีมีการปฏิวัติกันตำรวจทะเลาะกับทหาร ยิงกัน มีนายตำรวจคนหนึ่งหนีภัย สงครามมาบวชที่วัดหลวงพ่อ พระละอองเป็น พี่เลี้ยง สอนนักธรรมด้วย พอเหตุการณ์สงบนายตำรวจไปรับราชการต่อได้ชักชวนพระละอองไปอยู่ด้วยไปเป็นตำรวจ เขาเลยหนีหลวงพ่อไป ได้ยศสิบโทจึงกลับมาถ่ายรูปมาให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อดีใจที่ลูกชายได้เป็นตำรวจ ท่านพูดว่าลูกศิษย์กูมีแต่เสือ แต่โจร มึงเป็นตำรวจสักคนก็ดี ยุคสมัยก่อนนั้นตำรวจเริ่มจากนายสิบ ใครได้เป็นจ่า ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว จ่าละอองเขาจะสอบนายร้อย มาปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อถึงจะไม่เก็บเงิน (จับ แต่ไม่หยิบเก็บ คือรับไว้พอไม่ให้เสียกำลังใจ) แต่ท่านก็เข้าใจทางโลก ท่านก็ช่วยจนสุดกำลัง พอได้เป็น นายร้อย จะสอบนายพันมาปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ช่วยจนสุดกำลัง ขณะเป็นตำรวจ ยศร้อยโท, ร้อยเอก, เขาประจำอยู่สถานีบางรัก กรุงเทพ ผู้เขียนอยู่สถานียานนาวา (อาศัยบ้านพักตำรวจอยู่เรียนมัธยม) ก็อยู่ไม่ไกลกัน เดินไปถึงบางรัก, สีลม, วัดดอนฯ

หลวงพ่อให้ของติดตัวสารวัตรละออง 2-3 สิ่งเสมอ ความจริงมากกว่านั้น แต่เขาไม่ชอบคล้องพระ ชอบใส่แหวนแขนเป็นบางเวลา และแหวนนิ้วรุ่น 1, 2 คือ รุ่นแรกหายก็ใส่รุ่น 2 (พ.ศ. 2512) รูปโล่ห์, และรูปไข่ท้องวงเป็นพิรอด ครั้งหนึ่งขณะใส่แหวนแขนนอน แหวนนิ้วรุ่นแรกด้วย แหวนแขนได้รัดเตือน และหลวงพ่อปลุกให้ตื่น (ในฝัน) ที่อำเภอร้องกวาง จังหวัดแม่ฮ่องสอน (หรือจังหวัดแพร่ จำจังหวัดไม่ได้) แหวนแขนรัดแขนจนตื่น และหลวงพ่อปลุกด้วย ท่านพูดว่า มัวนอนอยู่อย่างไร เขายิงกันอยู่ ท่านก็ลุกขึ้น เหน็บปืนลงจากบ้านพักตำรวจ ได้ยิงเสียงปืนยิงกันจริง พอไปถึงด้วยอำนาจของตำรวจและตราแผ่นดิน คนร้ายยอมให้จับ เฉย ๆ ไม่ได้ยิงต่อสู้เลย ครั้งหนึ่งที่สถานีบางรัก เขาใช้แหวนนิ้วและะแหวนแขนอยู่ ไล่จับคนร้าย คนร้ายได้ยิงเขา ยิงไกลยิงไม่ถูกเลย พอจะจับโจรได้ยิงระยะประชิด ยิงไม่ออก ปืนคนร้ายเป็นปืนแมคกาซีนหลายนัด ความตกใจสารวัตรละออง ชักปืนตัวเองไม่ออกติดล๊อค คนร้ายยิงประชิด ห่างไม่ถึงวา เขาเลยเอามือบัง (มือซ้ายที่สวมแหวน) คือ คิดลืมไปว่า มือจะบังลูกปืนได้ ปรากฏว่าปืนของคนร้ายขัดลำกล้อง ชิ้นส่วนของปืนกระเด็นออกจากกันเลย สามารถจับได้ด้วยมือเปล่า ฉายา สารวัตรมือประกาฬ (หนังเหนียว) ถึงออกก็ไม่เคยเข้า แหวนแขนวงของเขาจะเล็กมากวงโต แต่ตัววงเล็กเป็นการทำครั้งแรก ๆ เล็กแต่เหนียว เขาเล่าว่า ถ้าแขวนไว้กับเสา ถ้าจะมีเรื่องก็แกว่งได้ ครั้งนั้นได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอก

แหวนนิ้วของหลวงพ่อนี้ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมา ปัจจุบันแพงมาก ผู้เขียนยังหาสาเหตุไม่เจอ ไม่ปั่นราคาแน่นอน แต่แพงและหายาก อาจจะเพราะสมัยนั้นคนบ้า ยังมาขอแหวนของท่าน ยังมีคนสติไม่ค่อยดีชื่อ ชัย บ้านอยู่ทางวัดค้างคาว อำเภอสรรคบุรี หลวงพ่อให้แหวนนิ้วไป 1 วง ให้ปลัดไป 1 ตัว วันหนึ่งไปเหยียบงูเข้า งูไม่กัด ตัวอ่อน เลยจับงูเห่าเอามาเล่น จับไปจับมา เลยยึดอาชีพจับงูขายซะเลย เคยจับงูใส่ถุงปุ๋ยแล้วขึ้นไปกราบหลวงพ่อบ่อย ๆ เดินเก่งระยะ 10-20 กิโลเมตรเดินได้สบายเคยมาเยี่ยมผู้เขียน นั่งคุยกัน แต่จับหางงูเห่าเอาไว้ จับไว้เป็น 10 ตัว ผู้เขียนเลยบอกให้เขารีบ ๆ ไป เขาบอก เขาคิดถึง หลวงพ่อก็ไม่อยู่แล้ว อุตส่าห์เดินมาหาผู้เขียนไกลมาก จะรีบไล่เขาไปไหน ผู้เขียนถึงกับซึม มันสติไม่ค่อยดี แต่ก็ยังคิดถึงผม ทางก็ไกล มาได้ไงถูก เขาคงคิดถึงหลวงพ่อมาก ลูกเมียของผมเขากลัวงูมาก

อีก 2 คนที่ยืนยันว่า แหวนของหลวงพ่ออยู่ปืน กันปืนได้ คือ นายชัย-นายปาน (ชัยคนละชัยวัดค้างคาว) 2 คนนี้สติไม่ค่อยดี แต่ชอบบีบนวดให้คนแปลกหน้าที่หน้าตาดี และชอบบีบนวดให้หลวงพ่อเสมอ ก็บีบส่งเดชไป คือบีบขา หลัง ไหล่ บีบแบบลงให้ แขกหลวงพ่อมักเมตตาให้เงินเขาเสมอ ผมก็เคยให้ครั้งละ 1 บาท (ลาดหน้าชามละ 1.50 บาท) หลวงพ่อให้แหวนนิ้วเขาเป็นประจำ กลัวเขาตาย เพราะชอบเดินเข้าบ้านคน (หลงทาง) ในยามวิกาล เจ้าของบ้านคิดว่าเป็นโจร เอาปืนยิงประจำ ยิงใกล้ยิงไม่ออกเลย ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หน แถมคนบ้านแค หัวเด่น อยากจะลองของหลวงพ่อว่าของจริงไหม พอจะเป็นเทพเจ้าของเขาได้ไหม ได้แอบทดลองยิงนายชัย, นายปาน ประจำ ผู้เขียนเคยถ่ายรูปเขาไว้ ขณะเดินริมคลอง ครั้งหนึ่งนายชัยเดินอยู่ริมคลองกลางคืน (หัวค่ำเริ่มมืด) มีรถวิ่งสวนมามีฝุ่น ทำให้มองไม่เห็น รถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาชนนายชัย วิ่งมาเร็วมาก ได้ชนนายชัย กระเด็นตกคลองลงไป นายชัยได้ขึ้นมาจากคลอง คนชนก็ดีใจหายไม่หนี เพราะหม้อน้ำแตกไปไม่ได้ ส่วนนายชัยเดินกลับบ้านหน้าตาเฉย นายชัย นายปานนี้ บ้านอยู่ระหว่างหัวเด่น บ้านแค คนบางคนเรียกหมอชัย หมอปาน (หมอนวด) คนชอบขอพระ ขอแหวน จากเขาประจำ แค่ให้สตางค์ 5 บาท 10 บาท เขาก็ให้

อีกคนหนึ่งชื่อนายเชน เทียนจันทร์ ชื่อเล่นชื่อปิ๊ด เดิมเป็นคนหัวเด่น ภายหลังมามีภรรยาอยู่ที่ปากน้ำ บ้านผู้เขียน ในสมัยหนุ่ม เคยไปถามหลวงพ่อถึงดวงชะตาในวันหน้า จริง ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจถาม มีพ่อของอาจารย์บุญยังและอาจารย์บุญยังตอนเป็นเด็ก มีพ่อของอาจารย์สมคิดและอาจารย์สมคิดตอนเป็นเด็ก มีนางลูกอินและเด็กชายวิสูทธิ์ ได้ถามหลวงพ่อถึงดวงชะตาของเด็ก 3 คน คือเด็กชายบุญยัง, เด็กชายสมคิด, และเด็กชายวิสูทธิ์ วันนั้นถามกันเล่น ๆ ไม่จริงจังอะไร นางลูกอินได้ถามว่า ลูกชายโตขึ้น จะเป็นอะไร (หมายถึง จะทำอาชีพอะไร ไม่ได้ถามถึงมะเร็งหรือเบาหวาน) ท่านเมตตาจับศีรษะ คลำดูแล้วพูดว่า ไอ้คนนี้รับราชการ เวลาร่วงเลยมาเด็กชายวิสูทธิ์ เป็นครูหรืออาจารย์สอนหนังสือจบด๊อกเตอร์ สอนโรงเรียนโคกหมู อ.หันคา จ.ชัยนาท แล้วพ่อของเด็กชายบุญยังและพ่อของเด็กชายสมคิด ได้ถามว่าลูกของเขาละโตขึ้นจะเป็นอะไร ท่านตอบว่า ไอ้สองคนนี้กูจะให้เป็นขรัว (คำว่าขรัว คงหมายถึงพระ เจ้าอาวาสแบบขรัวโต) อยู่ต่อมานายสมคิดและนายบุญยังก็บวช และอาจารย์สมคิดเป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเด่น ส่วนอาจารย์บุญยังเป็นเจ้าอาวาส วัดโฆสิตาราม (วัดหลวงพ่อปัจจุบัน) นายเชนหรือนายปิ๊ด ได้ถามหลวงพ่อบ้างว่า แล้วผมล่ะ โตขึ้นจะได้เป็นอะไร หลวงพ่อตอบว่า “มึงก็เป็นไอ้ปิ๊ดนะซิ” นายเชนนี้มีนิสัยโหล่ ๆ แต่ไม่ถึงขนาดไม่เต็ม ใจถึง หลวงพ่อรักเป็นคนรุ่นอาของผู้เขียน ปี พ.ศ. 2515 เกิดสงครามในลาว ทะเลาะกันเองบ้าง เวียตนาม และจีน ยุยงบ้าง ล้มระบบเจ้ามหาชีวิตด้วย มีการแบ่งสีกันมากมาย (ไทยก็เคยแบ่ง ผมกลัวแทบตาย ตอนแบ่งสี รู้มากไปไม่ดี) ทางไทยได้ส่งทหารไปช่วยรบ และรับสมัครทหารรับจ้าง ฝึกซ้อมที่ฐานทัพอุดรธานี คนไทยที่เคยเป็นพลทหาร อายุไม่มากนัก ทดสอบสมรรถภาพผ่าน ฝึกนิ๊ดหน่อยก็ไปรบได้ เงินเดือนดีจ่ายเป็นเงินไทย ไม่ใช่เงินกีบ นายเชนก็สมัครไป ไม่ได้ไปเพื่อเงินอย่างเดียว ไปเพราะเลือดนักสู้ของคนเมืองสรรค์ ไปเพราะไปช่วยบ้านพี่เมืองน้อง ก่อนไปรบเขาให้พักมาร่ำลา ญาติ พี่ น้อง ลูกเมีย และหาเครื่องรางของขลัง นายโชนได้มากราบหลวงพ่อ พอมาถึงกุฏิยังไม่ทันจะขึ้นไปเลย นายโชนแหกปากร้องเรียกหลวงพ่อ ๆ ๆ ๆ เขารบกันตึง ๆ จะถึงบ้านเราอยู่แล้ว มัวแต่อยู่ในกุฏินั่นแหละ เดี๋ยวก็ถึงบ้านเราหรอก หลวงพ่อเข้าใจว่ากำลังทำพระหรือเครื่องรางของขลังอยู่ ต้องรีบมาเปิดประตูกุฏิ (ปกติท่านจะปิดประตูชั้นนอกเอาไว้ ใส่กุญแจ) นายเชนเป็นลูกศิษย์ เขาไม่เกรงกลัว ศิษย์ของหลวงพ่อคนไหนทั้งนั้น แม้หมาของหลวงพ่อ ศิษย์ใหญ่ ๆ ของหลวงพ่อ ทั้งต่อหน้าและรับหลัง เขาเรียกได้ทั้งหมด แก่กว่าเป็น 10 ปี ก็เรียกไอ้ ยกเว้นพ่อของผู้เขียน เพราะพ่อของผู้เขียนเป็นพี่คนโตของเขา หลวงพ่อเมตตามอบรูปหล่อรุ่นแรก, พิมพ์สรรค์ ทั้งนั่งทั้งยืนให้เป็น 10 องค์, พระร่วงวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็น 10 องค์, แหวนแขน 1 วง ปฐวีธาตุ หลายเม็ด, ทรายเสกใส่ 4 กระเป๋าเสื้อเลย และสมเด็จหลังรูป พ.ศ. 15 (สงครามลาว) แต่ไม่ให้มีดหมอไป คงกลัวทำหาย แล้วนายเชนก็เที่ยวไปร่ำราญาติพี่น้องที่เคยไปรบสมัยสงครามเกาหลี, เวียดนาม เขาก็ให้ขอยืมวัตถุมงคลมา บางคนก็ให้มาเลย (เหมือนไปช่วยรบ แบบหลวงพ่อมอบให้) ที่ประเทศลาว ครั้งหนึ่งขณะจะโดนโจมตี นายเชนท้องเสียกำลังถ่ายหนักอยู่ ฐานทัพโดนโจมตีเละเลยเกือบแตก ครั้งสำคัญ ก่อนโดนโจมตีกลางวันแสก ๆ แหวนแขนได้รัดแขนเตือนภัย นายโชนได้เตือนทหารทุกคนว่า จะโดนโจมตี แต่ไม่มีใครเชื่อ ผู้กอง ผู้พัน ก็ไม่เชื่อหัวร่อขำ นายโชนได้โดดลงหลุมหลบภัย เพียงคนเดียว เดี๋ยวเดียวโดนโจมตีเลย ค่ายแตกเลย ตายเป็นครึ่ง ๆ กองร้อย ผู้พันรอด พอตั้งตัวได้ ได้แต่งตั้งทหารพราน นายเชน เทียนจันทร์ ให้เป็นทหารที่มีหน้าที่คอยเตือนภัย บอกกล่าวว่า ถ้าจะมีการโจมตีให้รายงานผู้กอง ผู้พันทันที ได้รับการชมเชยต่อหน้าทหารทั้งกองร้อย ตั้งฉายาว่า นายเชน แหวนแขนเรดาห์ อยู่ต่อมาก็โดนโจมตีบ้าง ไปตีเขาบ้าง รบกัน ปะทะกันบ้าง ทุกครั้งที่นายเชนโดนยิงไม่เข้า ยิงไม่ถูก เสื้อเป็นรูพรุน กางเกง เป้าขาด มักจะโดนขอของดี หลวงพ่อให้ไปเป็นกำ ๆ อาจเป็นเหตุผลนี้ ได้ให้พระสรรค์ไป เนื้อดินอาจละลายน้ำ ให้พระร่วงไป อยู่ต่อมาคนที่พกพระ พระสรรค์ และพระร่วง โดนยิงไม่ออก ออกก็ไม่เข้า พระร่วงวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีการซื้อขายกันในสนามรบ ถึง 3,000 บาท (สามพันบาท) ในปี พ.ศ. 2517 ผู้เขียนรับราชการเงินเดือน 1,220 บาท (หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบบาท) แต่ในปัจจุบันที่พระร่วงวัดพระธาตุ ซึ่งเสกดีมาก พ.ศ. 2515 สนนราคาแทบไม่มี (มีผู้รู้เล่าว่า จำหน่ายหมดในเวลาอันสั้น เจ้าอาวาสมีความละโมบ ได้สั่งทำเพิ่มขึ้น มาใหม่ อีกเท่าตัว) เล่าเรื่องนายเชนต่อ ครั้งหนึ่งขณะซักเสื้อผ้าตากเอาไว้ มีการล้างปืนทำความสะอาด และลองปืน ได้หันกระบอกปืนไปทางเสื้อของนายเชน ปรากฏว่ายิงไม่ออก ยิงอย่างไรก็ยิงไม่ออก ใหม่ ๆ คิดว่า ปืนขัดข้องเฉย ๆ ตอนหลังถึงรู้ว่าปืนหันทิศไปทางเสื้อของนายเชน จึงยิงไม่ออก เมื่อไปดูที่เสื้อก็ไม่มีอะไร มีแต่ทรายอยู่ในกระเป๋าเสื้อกับกรวด คือ เข้าใจผิดคิดว่านายเชน สกปรกซักเสื้อไม่สะอาด มีกรวดทรายอยู่เต็ม ไม่เอาออก นายเชนก็ไม่พูดว่า เป็นเพราะอะไร แกล้งเอาเสื้อหลบแล้วให้ลองยิงใหม่ อ้างปืนขัดลำกล้อง คราวนี้ยิงออก อีกครั้งหนึ่ง ผู้พัน ผู้กองอยากรู้ว่า ของที่เอาติดตัวมารบกัน ของ ๆ ใครจะอยู่ปืนบ้าง ยิงด้วยปืนพกสั้นธรรมดาหลายสิบองค์เสียหายออกกระเด็น บางองค์ยิงไม่ออก นายเชนจึงเอาแหวนนิ้วรุ่นแรก (อาฝากมารบ) เอาไปทดลองยิงดู ปรากฏว่า ยิงแบบดูถูก คือยิงติด ๆ ปืนเลย จ่อยิงห่าง 1 ซ.ม. ได้ ปรากฏว่าไม่ออก ปืนเสียเลย ปืนร้าวใช้ไม่ได้ ถ้ายิงอีกทีอาจแตกคามือ ทหารผู้กอง ผู้พัน ตื่นเต้นกันใหญ่ ขอดู อัศจรรย์แหวนหายในพริบตา ภายหลังก็ลองอีก นายเชนเอารูปหล่อรุ่นแรกไปลอง คราวนี้นั่งเฝ้าก็ยิงไม่ออก ในวันนั้นลองยิงพระร่วง วัดพระธาตุดอยสุเทพด้วย ก็ยิงไม่ออก ซื้อขายกัน 3,000 – 3,500 บาท ในสมรภูมิรบ บางองค์มีคนใจถึงให้ราคา 7,000 บาท นายเชนไม่ได้สักบาท มีแต่คนเลี้ยงเหล้า เพราะให้เขาไปหมดแล้ว พระสรรค์ก็เช่าหากันตกองค์ละ 1,000 บาท นายเชนก็ไม่ได้สักบาท เพราะให้เขาไปหมดแล้วเช่นกัน เมื่อรบครบ 1-2 ปี เขาให้พัก 1 เดือน นายเชนคิดถึงหลวงพ่อมาก แต่ไม่ได้ไปกราบ กะไปตอนจะไปรบเลย พอแต่งเครื่องแบบสุดหล่อเสร็จ เอาแหวนแขนใส่แขน แหวนแขนเตือนภัยรัดขาดดังเปรี๊ย เขาใจเสียเลยไปกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดว่า อย่าไป แต่นายเชนรับปากกับผู้พันไว้แล้วว่า จะไป ลูกผู้ชายพูดคำไหนเป็นคำนั้น หลวงพ่อได้พูดอีกคำหนึ่งว่า ถึงรับปากเขาไว้ ถ้าไปแล้วไปตาย ก็ไม่ควรไป มึงจะรีบไปตายทำไม ครั้งนี้หนักว่าครั้งแรกมาก นายหมึก เสือร้ายแห่งสรรคบุรี ก็มากราบหลวงพ่อจะไปรบครั้งนี้ให้ได้ หลวงพ่อบอกไม่ให้ไป นายหมึกไม่เชื่อ พอขี่รถจะออกประตูวัดเท่านั้นแหวนแขนรัดขาดคาแขนเลย มีไปได้คือเสือคูณ จริง ๆ มันไม่ได้เป็นเสือ เป็นมือปืน เสือคูณไปได้ และรอดมาได้ จะเล่าให้ฟังโอกาสหน้า เพราะใช้สมเด็จหลังรูปภายหลังนายโชน โดนผู้เขียนลอกคราบ ผมเอาปฐวีธาตุมา เอาผ้าขอดหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาวมา ตะกรุดหลวงพ่อเฒ่า ผ้าขอดให้ คุณศิริชัย ปากน้ำไป (ผ้าขอดและตะกรุดเขาฝากไปรบ) เรื่องคำพูดคำสอนของหลวงพ่อนี้ พูดว่าสัญญากับเขาไว้แล้ว ผมเคยสัญญากับใคร สาบานกับใคร ผมถอนสาบาน ถอนสัญญาทั้งหมดไม่มีคำสัญญา ไม่มีคำสาบาน ไม่สาบานกับใครว่าจะรักเธอจวบจนชั่วฟ้าดินสลาย ไม่ว่าจะมีงานอะไร เพื่อนฝูงมาขอคำยืนยัน ผู้เขียนก็จะพูดว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสุดวิสัยก็จะไป

ก็คงต้องสมมุติยุติเรื่องแหวน แต่เพียงนี้ ผมเจอนันต์ คูหาวิจิตร ร้านถ่ายรูปศิลป์ไพบูลย์ ตลาดท่าช้าง เตี่ยเขาเป็นคนทำแหวนหัว นะ (นะ หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์) จำหน่าย (10 บาท งานฝังลูกนิมิต (พ.ศ. 2521) คุณนันต์ ไปเจอที่พันทิพย์ ถามราคา เขาบอก 6 หมื่นบาท เขาแทบจะเป็นลม เถ้าเตี่ยเขาเอาเก็บไว้ให้เขาซัก 1 ถุง ก็คงดี ขอจบเลยนะ

ปล. มีผู้รู้พูดว่า “ไร้ซึ่งความยุติธรรม แสดงว่า ขาดความจริงใจ
ไร้ซึ่งความจริงใจ แสดงว่า ไร้รัก
ไร้รัก แสดงว่า ไร้ทุกสิ่ง”
ขอมอบให้มนุษย์เงินเดือน และมนุษย์ที่มีนายทุกคน แต่จงอย่าเสียใจและอย่าน้อยใจไปเลย สุดท้ายมันก็แค่ผงธุลี

ที่มา: เฒ่า สุพรรณ
(อ.สมจิตต์ เทียนจันทร์)
56 หมู่ 5 บ้านปากน้ำ ต.ปากน้ำ
อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี 72120
โทร. 081-943-7368

ไบรท์ สิงห์บุรี

bright singburi

[พื้นที่โฆษณา] ไบรท์ สิงห์บุรี รับเช่า-รับจัดหาพระเครื่อง หลวงพ่อกวย ทันยุค-ย้อนยุคยอดนิยม 098-527-2777

เอสบีฟอนต์

sb-font

จำหน่ายฟอนต์ไทย สไตล์เอสบีฟอนต์ ลิขสิทธิ์การออกแบบโดย Somboon Jaisupa โทร. 094-783-9020

Font was

was font

ฟอนต์วัสโวยวาย จำหน่ายฟอนต์ให้แก่ งานโฆษณาทุกชนิด ทั้ง ป้าย เสื้อสกรีน และ สติกเกอร์ แยกตลาดนางบวช สุพรรณบุรี โทร 082 295 2537